ถอดกรณีศึกษาของอังกฤษ รัฐตัดงบกลาโหมอย่างไร ให้กองทัพเข้มแข็งขึ้น ชี้ประเทศไทยก็ทำได้ แต่ต้องวางแผนให้ชัด จะรบกับใคร เอาอะไรไปรบ และใช้อะไรรบบ้าง
หลังจากที่ก่อนหน้านี้พรรคการเมืองหลายพรรค
ออกนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร พร้อมประกาศตัดงบของกระทรวงกลาโหม จนทำให้ทาง
พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. บอกให้พรรคที่เสนอตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม
ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน
ส่งผลให้เกิดกระแสที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางถึงเรื่องดังกล่าว ว่า
"งบทหาร" นั้นสมควรถูกปรับลดลงหรือไม่
และหากลดลงจริงจะส่งผลให้กองทัพอ่อนแอลงหรือไม่
เพราะเรื่องของความมั่นคงของชาตินั้นไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้
วันนี้ทีมงานกระปุกดอทคอมจึงขอนำบทความเรื่อง "ตัดงบกลาโหมอย่างไร ให้กองทัพเข้มแข็ง" ที่ทางเพจ ThaiArmedForce.com ได้รวบรวมและนำเสนอเอาไว้ ดังนี้
"ตัด #งบกลาโหม ยังไงให้ #กองทัพ เข้มแข็ง: กรณีศึกษาจาก SDSR ของ #สหราชอาณาจักร
ลดงบทหาร = กองทัพอ่อนแอ
ไม่เกณฑ์ทหาร = กองทัพอ่อนแอ
เพิ่มงบทหาร = กองทัพเข้มแข็ง
เกณฑ์ทหาร = กองทัพเข้มแข็ง
ตรรกะนี้เป็นตรรกะที่เราจะได้ยินอยู่ตลอดจากทั้งสองขั้วความคิดในสังคมตอนนี้ครับ เวลาถกเถียงกัน ส่วนมากทุกคนจะยืนอยู่บนชุดความคิดนี้เป็นพื้นฐาน
เพราะดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลในตัวมันเอง อย่างการลดงบทหาร = กองทัพอ่อนแอ หรือ เพิ่มงบทหาร = กองทัพเข้มแข็ง มันก็คือ You get what you pay นั่นเองครับ อยากกินสเต๊กเนื้อโกเบแบบมีเดียมแรร์ ก็ไม่มีใครขายในราคาหมูปิ้งนมสดยายจันทร์ที่ปากซอยแน่นอน ดังนั้น ถ้าอยากได้เนื้อดี นุ่มลิ้น ละลายในปาก จ่ายถาดละพันมันก็สมเหตุสมผล
F-35 ราคาลำละร้อยกว่าล้านเหรียญสหรัฐ มันก็ย่อมดีกว่า F-16 ราคา 70
ล้านเหรียญสหรัฐ แน่นอน ผลการฝึกมันก็แสดงให้เห็นชัดเจน F-35 ยิง F-16
ร่วงได้เป็นสิบลำในการฝึกครับ เราเพิ่งโพสต์บทความไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง
เห็นไหมครับ สมเหตุสมผลดีจริง ๆ
คำถามก็คือ ชุดความคิดทั้งสองนี้ มันต้องเป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือ ?
ถ้าคิดแบบวิทยาศาสตร์ เวลาเราจะพิสูจน์ว่าทฤษฎีใดเป็นจริงได้ เราควรจะอนุมานก่อนว่าทฤษฎีนั้นผิด และหาหลักฐานมารองรับว่ามันผิดจริง ๆ ยกเว้นจะหาไม่ได้จึงถือว่ามันถูก
ถ้าจะลองพิสูจน์ว่าจริง ๆ แล้ว ลดงบทหาร != กองทัพอ่อนแอ หรือ เพิ่มงบทหาร != กองทัพเข้มแข็ง หรือ ไม่เกณฑ์ทหาร != กองทัพอ่อนแอ หรือ เกณฑ์ทหาร != กองทัพเข้มแข็ง (!= หมายถึงไม่เท่ากับ) อาจจะลองหาหลักฐานมาพิสูจน์โดยใช้กรณีของสหราชอาณาจักรครับ
สหราชอาณาจักรเคยออกเอกสารการทบทวนยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศและความมั่นคงปี 2010 (UK Strategic Defence and Security Review 2010) โดยรัฐบาลผสม พรรค Conservative กับ Liberal Democrat ซึ่งกำหนดให้ทั้งสามเหล่าทัพตัดลดกำลังพลให้ได้มากกว่า 1 แสนนาย แยกเป็น #กองทัพบก ให้ลดลง 7,000 ถึง 95,500 นาย #กองทัพเรือ ให้ลดลง 5,000 ถึง 30,000 นาย #กองทัพอากาศ ให้ลดลง 5,000 ถึง 33,000 นาย
สำหรับ #ยุทโธปกรณ์ กองทัพบกให้ปลดประจำการ #รถถัง Challenger 2 ลง 40%
เหลือราว 200 คัน ปลดประจำการปืนใหญ่อัตตาจร AS-90 ลง 35% เหลือ 87 ระบบ
รวมถึงเรียกทหารที่ประจำการในเยอรมนี ราว 2 หมื่นนาย กลับประเทศ
และไปรักษาสันติภาพที่ใดไม่สามารถมีกำลังได้เกิน 2 หมื่นนาย
กองทัพเรือให้ปลดประจำการ #เรือบรรทุกเครื่องบิน HMS Ark Royal ทันทีในปี 2011 แทนที่จะเป็นปี 2016 และให้ประจำการเรือบรรทุกเครื่องบินเพียงแค่ลำเดียวจากที่กำลังต่อสองลำ รวมถึงปลดประจำการเครื่องบิน Harrier จำนวน 72 ลำทันที และขายซากเป็นอะไหล่ให้กับสหรัฐอเมริกา และเปลี่ยนการจัดซื้อ F-35B รุ่นขึ้น-ลงทางดิ่ง เป็นรุ่น F-35C รุ่นประจำการบนเรือบรรทุกเครื่องบินแทน
กองทัพอากาศให้ยกเลิกโครงการเครื่องบินตรวจการณ์ทางทะเล Nimrod MRA4 ทันที ปลดประจำการเครื่องบินลำเลียง C-130J ในปี 2022 สิบปีก่อนแผนการเดิม ลดการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ Chinook ลงเหลือ 12 ลำ จาก 22 ลำ และปลดประจำการเครื่องบินตรวจการณ์ Sentinel R1 ทันที
ฟังดูคุ้น ๆ ไหมครับ ตอนนั้นรัฐบาลของนายกคาเมรอนก็โดนสวดยับเหมือนกันว่า #หนักแผ่นดิน เอ๊ย ว่าเป็นหายนะของ #การป้องกันประเทศ ของสหราชอาณาจักรอย่างแท้จริง กองทัพแทบจะทำงานไม่ได้แน่นอน แต่นายกคาเมรอนก็ชี้แจงไป ทำหูทวนลมไป และยอมถอยบางอย่างไปบ้าง แต่ก็ยังยืนยันว่า ตัดเลย ตัดเลย ตัดเลย ชั้บ ๆ ๆ !
และรัฐบาลสหราชอาณาจักรพูดจริงทำจริงด้วยนะครับ แม้จะตัดไม่ได้ทั้งหมดอย่างที่วางแผนไว้ แต่ก็ตัดไปได้มากกว่า 70% ของแผน โดยเฉพาะงบประมาณทางทหารที่ตั้งเป้าจะตัดลดให้ได้ 10-20% นั้นประสบความสำเร็จในการตัดลดได้จริงถึง 7.7% ในช่วงสี่ปีของแผน
เมื่อมาดูทุกวันนี้ กองทัพสหราชอาณาจักรอ่อนแอจริงไหม เราอาจจะลองดูได้จากเอกสารทบทวนยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศและความมั่นคงปี 2015 ของนายกคาเมรอนเจ้าเก่าที่จะเป็นแนวทางในการพัฒนากองทัพไปจนถึงปี 2025 ครับ (ปีต่อมาเขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะแพ้การลงประชามติแยกตัวจากสหภาพยุโรป และถูกแทนที่ด้วยนางเทเรซา เมย์)
เอกสารกำหนดให้กองทัพบกต้องมีกำลังประจำการไม่ต่ำกว่า 8 หมื่น 2 พันนาย เพิ่มการลงทุนในการฝึก #กำลังสำรอง สั่งซื้อ #ยานเกราะล้อยาง Ajax จำนวน 589 คัน ลดอัตรากองพลยานเกราะลง 1 กองพลนำมาตั้งกองพลเคลื่อนที่เร็วสองกองพลแทน และเพิ่มกองพลสำรองและกองพลภารกิจเฉพาะอีก 6 กองพล และอัปเกรดรถถัง Challenger 2 เพื่อเพิ่มความทันสมัยและขยายอายุประจำการ
กองทัพเรือจะเพิ่มกำลังพล 400 นาย ประจำการเรือบรรทุกเครื่องบินสองลำแทนที่จะเป็นลำเดียว คงอัตราเรือพิฆาต และเรือฟริเกต ไว้ที่
19 ลำ ลดการจัดหา #เรือฟริเกต ชั้น Type 26 ลงจาก 13 เหลือ 8 ลำ
และเปลี่ยนไปจัดหาเรือฟริเกต Type 31 แทน 6 ลำ ซื้อ #เรือดำน้ำ #นิวเคลียร์
ใหม่ 4 ลำทดแทนของเดิม และจัดหาเรือตรวจการณ์ชั้น River
(ชั้นเดียวกับเรือหลวงกระบี่) เพิ่มจำนวน 5 ลำ
เช่นนี้จะเห็นได้ว่า แม้เอกสารปี 2010 จะกำหนดให้ตัดลดอัตรา กำลังพล
และงบประมาณลงจำนวนมาก แต่ก็มีการเพิ่มกลับเข้ามาในปี 2015 เช่นกัน
ซึ่งไม่ได้เป็นการเพิ่มกลับแทนของเดิมที่ลดไปแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
แต่เป็นการจัดสรรทรัพยากรใหม่ เช่น เอกสารปี 2010
มีเป้าหมายจะลดกำลังพลมากกว่า 1 แสนนาย แต่เอกสารปี 2015
เพิ่มกำลังพลกลับมาแค่พันกว่านาย
แน่นอนเน้นไปที่การเพิ่มจำนวนยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย
เพิ่มการฝึกกำลังสำรองให้มีคุณภาพ เพิ่มการลงทุนในการรับมือ #การก่อการร้าย
และ #สงครามไซเบอร์ ปรับปรุงและอัปเกรดระบบอาวุธจำนวนมาก
นี่ก็อาจจะเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ถึงแม้ #กระทรวงกลาโหม ของสหราชอาณาจักรจะถูกตัดงบไปหลายปี แต่ทุกวันนี้กองทัพสหราชอาณาจักรแข็งแกร่งกว่าเดิมอีก
ดังนั้น บทเรียนที่ได้จากการศึกษากรณีนี้ที่สามารถนำมาปรับใช้กับประเทศเราก็คือ ฝ่ายที่เสนอให้ลดงบประมาณทางทหารหรือลดกำลังพล ควรจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าลดแล้วจะทำอย่างไรให้ขีดความสามารถในการป้องกันประเทศยังคงเดิมหรือแม้แต่ดีกว่าเดิม นั่นหมายถึงต้องตอบให้ได้ว่าการลดตรงนี้จะต้องเพิ่มตรงไหนขีดความสามารถถึงจะไม่ลดลง แต่ก็ไม่ต้องเพิ่มจนกลายเป็นจ่ายแพงกว่าเดิม ตรงนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายสนับสนุนการลดงบประมาณที่จะต้องกางแผนออกมาให้ดู อย่าบอกแค่ลดอย่างเดียวครับ"