x close

คนบันเทิง กับการเมืองอันดุเดือด


         ครบ100 วัน ไปเมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปักหลักชุมนุมประท้วง ขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และเมื่อข้ามมาอีกไม่กี่นาทีของวันที่ 2 กันยายน ประเทศไทยก็ต้องร้อน 

         คุกรุ่นจากไฟสงครามภายในประเทศอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่ใช่ข้าศึกโจมตี ทว่าเป็นการต่อสู้ห้ำหั่นระหว่างประชาชนกับรัฐบาล และภาคประชาชนกับประชาชนที่ขัดแย้งกันเอง บ่อเกิดแห่งสงครามจลาจล การใช้ความรุนแรง

         ด้วยความที่ในห้วงเวลานี้เมืองไทยกำลังเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา จึงไปสอบถามความคิดเห็นของเหล่าคนในวงการบันเทิงที่เป็นแฟนพันธุ์แท้คอการเมือง ได้มาบอกเล่าความรู้สึกของตนเอง 

          เริ่มกันที่ดาราสาว "พริก" กานต์ชนิต ซำมะกุล ผู้ที่ออกตัวชัดเจนว่าเลือกข้างคือฝ่ายพันธมิตร โดยขึ้นเวทีนี้มาแล้วหลายครั้ง เธอเล่าให้ฟัง หลังจากทำหน้าที่แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์บนเวทีพันธมิตรเสร็จสิ้น โดยบอกว่าตอนแรกไม่คิดจะสนใจการเมือง เพราะมองเป็นเรื่องของคนแก่ แต่พอได้เห็นผู้หญิงแก่ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งแล้วขึ้นไปพูด บอกว่าหากไม่ตายจะกลับมาใหม่ และผู้หญิงแก่คนนั้นก็กลับมาขึ้นเวทีอีกครั้ง เลยเกิดแรงจูงใจอยากไปร่วมประท้วง 



          "พอไปถึง ทีแรกไม่กล้าขึ้นเวทีหรอกนะ เพราะตัวเองเคยมีภาพคลิปหลุดอื้อฉาว จึงกลัวว่าจะทำให้ที่กลุ่มพันธมิตรเสื่อมเสีย และกลัวคนมองว่าตัวเองอยากดัง เลยเลือกที่จะอยู่ข้างล่าง นั่งฟังร่วมกับคนอื่นๆ และก็ช่วยพี่ๆ นางพยาบาลแจกยาให้แก่พี่น้องที่มาประท้วงดีกว่า สักพักพอถูกชวนขึ้นเวทีมากๆ เลยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรแล้ว คือหนูเบื่อหน่ายการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ด้วย และการที่หนูมาที่นี่ก็ทำให้เราได้รู้ความจริงหลายอย่าง ที่บางทีสื่ออาจนำเสนอไม่หมด จุดประสงค์ของหนูที่มาที่นี่ อยากให้เอารัฐบาลชุดหน้าแก่ๆ ออกไปให้หมด เพราะไม่เห็นพัฒนาประเทศชาติเลย  หนูอยากเห็นอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นกับสังคมไทย" พริกกล่าว 

          ด้วยสถานการณ์ไม่สงบเช่นนี้ถามว่าเกรงกลัวต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบชนิดเสียงดังฟังชัด ว่าการตัดสินใจ ประกาศตัวชัดเจนอย่างนี้ ไม่กลัวว่าจะเกิดอันตรายแม้แต่น้อย รวมทั้งพ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร 

          "เพราะพวกเราต่อสู้ยึดหลักอหิงสา ไม่ได้ใช้ความรุนแรง ที่สำคัญทุกวันนี้ สื่อก็สามารถนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มากกว่าสมัยการประท้วงในอดีต" พริกกล่าวอย่างมั่นใจทิ้งท้าย 

          จากนั้นมาฟังนักแสดงรุ่นใหญ่ "ท็อป" ดารณีนุช โพธิปิติ ผู้ตามติดสถานการณ์ความเป็นไปของประเทศไทยมานานและเคยร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเดินขบวนประท้วงมาแล้ว กล่าวว่าตอนนี้ ไม่ได้เลือกข้าง ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน แต่หากจำเป็นต้องยืนข้างจริงๆ ก็เลือกที่จะอยู่ฝั่งพันธมิตร เพราะไม่ค่อยชอบระบบการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ แต่จริงๆ ก็มองว่าการใช้ความรุนแรงมันไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่ถูกต้องสักเท่าไร 

          "อย่างการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ ก็ไม่ได้ไปหรอกนะ ถ้าจะไป เหตุผลต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับมีผลกับประเทศชาติ อย่างจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกตนเอง แต่การประท้วงขับไล่รัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช ครั้งนี้ไม่ได้ไป เพราะเป้าหมายยังไม่ตรงกับความคิดของตนเอง ลองคิดดูสิ ถ้าเอารัฐบาลออกไป แล้วคำตอบจะเป็นอย่างไรต่อไป ฉะนั้นจึงอยากให้ระบอบประชาธิปไตยจัดการตัวเอง เราต้องยอมรับกติกาการเลือกตั้งด้วย 

          ส่วนเหตุผลที่ทำให้สนใจการเมืองนั้นเป็นเพราะมีผลกับวิถีชีวิตตัวเอง ใครจะรู้ลึกรู้ไม่ลึกก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ถ้าถามว่าการที่ท็อปเป็นดาราแล้วมาออกตัวประท้วงนั้น ยอมรับว่ากลัวเหมือนกัน และก็มีผลกระทบกับอาชีพนักแสดงเหมือนกัน เพราะเราเป็นคนสาธารณะ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะแพ้ความรู้สึกที่อยากแสดงออก อีกอย่างก็ได้เป็นการบอกกับสังคม และอยากใช้สิทธิ์แสดงความคิดเห็น แต่ตอนที่ไปประท้วงครอบครัวก็ไม่มีใครห้ามปรามอะไรนะ" ท็อปกล่าว 

          ทั้งนี้ท็อปบอกกับเราเสียงจริงจังว่า บอกตามตรงประเทศไทย ตอนนี้กำลังขาดความเป็นเอกภาพ เราต้องมาตีกันเอง ขาดความไว้ใจกัน ต่างฝ่ายต่างเลือกข้าง เพราะผู้นำครอบครัวที่เราเลือกไปนั้น (สมัคร สุนทรเวช) ฝากชีวิตไว้ไม่ได้ ผู้ที่มีอำนาจไม่มีความเสถียรเลย 

          "บทสรุปที่อยากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย คือไม่ว่าจะไปทางไหนก็ไม่ต้องมีความกังวล จึงอยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ผู้นำแต่ละฝ่ายหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น อย่ามองแต่ในมุมตัวเอง อยากให้คิดถึงลูกหลานมากๆ หากจะให้มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในตอนนี้ ถ้าเปรียบก็เหมือนกับการเลือกหัวหน้าครอบครัว" ท็อปกล่าวทิ้งท้ายบทสนทนา 

          ด้าน "ใหญ่" ฝันดี จรรยาธนากร แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองที่คนในชาติแบ่งพรรคแบ่งพวก มีทั้งกลุ่มพันธมิตรและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ว่ารู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมดตอนนี้ ไม่มีจุดจบบทสรุปที่แน่นอน สงสารเด็กๆ รุ่นต่อไป ว่าพวกเขาได้ประชาธิปไตยมาโดยใช้ความรุนแรง เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็คือคนไทยด้วยกัน 

          "ผมอยากให้คนไทยทั้ง 2 กลุ่มหันหน้าเข้าหากัน เพราะถ้าจะเอาเหตุผลมาโต้แย้งกัน ต่างฝ่ายก็พูดถูก แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง ที่ไม่เลือกข้างเลือกสีก็ลำบาก ฉะนั้นจึงอยากให้มีการทำโพลล์สำรวจความต้องการของประชาชน ว่าต้องการอะไร อย่างผมก็ไม่เลือกฝ่ายเหมือนกัน ผมยืนอยู่ตรงกลาง แต่ที่ไม่ไป ไม่ใช่ว่าเพราะกลัวว่าตัวเองจะเปลืองตัวหรอกนะ เพียงแต่ผมไม่ชอบวิธีนี้ แต่ก็ต้องยอมรับกลุ่มพันธมิตร ที่ไปประท้วงเขาก็ต้องเสียสละ ทั้งตากแดดตากฝน 

          หากให้มองประเทศไทยตอนนี้ก่ำกึ่งว่าจะถึงคราววิกฤติ เพราะไม่รู้ว่าบทสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร ผมอยากให้ทุกคนตั้งสติ มองทุกอย่างให้รอบด้าน หาทางแก้ปัญหาร่วมกัน เพราะแค่หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อแล้ว" ฝันดีกล่าว

          ถึงความคิดเห็นของคนในชาติจะแตกต่างกันอย่างไรขอเพียงเลือดสยามอย่าแตกแยกเข่นฆ่ากันเองก็พอ



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คนบันเทิง กับการเมืองอันดุเดือด อัปเดตล่าสุด 3 กันยายน 2551 เวลา 11:28:28 38,230 อ่าน
TOP