เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Sirichok Sopha
ศิริโชค ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยันแม่ถูกหลอกทำสัญญาเงินกู้ แถมไม่ได้เงิน ซัดเสื้อแดงเล่นสกปรก ใช้ปัญหาตัวบุคคลเป็นเครื่องมือดิสเครดิตทางการเมือง
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ศาลแขวงพระนครใต้ พิพากษาจำคุก นางเสาวรส โสภา มารดาของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีปลอมแปลงเอกสารกู้เงินจำนวน 15 ล้านบาท ซึ่งต่อมา นายศิริโชค ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส. ตีเป็นวงเงินประกัน 1 ล้านบาท ประกันตัวมารดาออกมา พร้อมยืนยันจะขอยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีนั้น
ล่าสุด ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายศิริโชค โสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว Sirichok Sopha เพื่อชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว ดังนี้
"เมื่อเช้าผมได้ไปฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น กรณีที่แม่ผมถูกฟ้องข้อหาฉ้อโกงเงิน 15 ล้านบาท จริง ๆ จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่เห็นบรรดาสาวกคนเสื้อแดงพยายามหยิบยกให้เป็นประเด็นทางการเมือง โดยพยายามใช้แม่ผม ซึ่งเป็นคนแก่อายุ 74 ปี มาเป็นเครื่องมือในการดิสเครดิตผมทางการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่สกปรกจริง ๆ เพราะกรณีนี้เป็นปัญหาระหว่างบุคคล ไม่ได้เป็นการทุจริตหรือเป็นผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐ ดังนั้นผมจึงมีความจำเป็นที่ต้องอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องนี้ เพื่อข้อมูลจะได้ถูกต้อง และเป็นอุทาหรณ์ให้อีกหลาย ๆ ครอบครัวที่อาจโดนแบบแม่ผมได้จากการกู้เงินนอกระบบ
แม่ผมได้กู้เงินจากคู่กรณีจริง โดยยอดสุดท้ายเป็นหนี้คงค้างอยู่ 8.9 ล้านบาท แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาเงินกู้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นเพื่อนสนิทกัน โดยเป็นการกู้เงินระยะสั้น 1 - 2 อาทิตย์ก็คืน และทำอย่างนี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปี ยามที่ต้องการเงินหมุน โดยคู่กรณีคิดดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน (120%ต่อปี) ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด
ต่อมาเมื่อธุรกิจของคุณแม่ประสบปัญหา และศาลได้มีการพิทักษ์ทรัพย์และสั่งให้แม่ผมกลายเป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ด้วยความที่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบก็พยายามไปเจรจากับคู่กรณี เพื่อผ่อนคืนเงินต้นที่ค้างอยู่ ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นเพราะกลายเป็นบุคคลล้มละลายไปแล้ว เมื่อคู่กรณีทราบเรื่องก็ทำทีเป็นเห็นใจและขอให้แม่ผมเอาทรัพย์สินที่พอหยิบยืมได้มาค้ำประกันเงินส่วนที่เหลือ เนื่องจากเขาเสียเปรียบ เพราะไม่ได้ทำสัญญาเงินกู้กันตั้งแต่ต้น แม่ผมก็ไปยืมเพชรและมุกจากญาติและเพื่อนมาค้ำประกันให้ โดยคิดเป็นเงินประมาณ 7 ล้านบาท ทำให้เหลือหนี้ที่คงค้างจริงอยู่ประมาณ 1.9 ล้านบาท
ต่อมาคู่กรณีก็ออกอุบายว่า มีเพื่อนที่สามารถปล่อยเงินกู้ให้ได้ 15 ล้านบาท และคิดดอกเบี้ยเพียง 3% ต่อเดือน และหลอกให้แม่ผมมาทำสัญญาเงินกู้ โดยให้เซ็นชื่อเปล่า ๆ แล้วคู่กรณีก็ไปกรอกเองทีหลัง โดยอ้างว่าใน 15 ล้านบาทจะหักเงินกู้คืนคู่กรณี 8.9 ล้านบาท ส่วนมุกกับเพชรนั้นจะคืนให้ และส่วนที่เหลืออีก 6.1 ล้านบาทนั้นก็ให้แม่ผมนำไปหมุนเงินทำธุรกิจต่อ
แต่ทั้งหมดทำไปเพื่อหลอกให้แม่ผมทำสัญญาเงินกู้ เนื่องจากเดิมไม่เคยทำสัญญาเงินกู้ต่อกัน เมื่อแม่ผมล้มละลายไป เงินก็ย่อมสูญหายไปหมด คู่กรณีทราบอยู่แล้วว่าแม่ผมเป็นบุคคลล้มละลายไม่สามารถไปทำนิติกรรมใด ๆ ได้ แต่ด้วยความที่แม่ผมเป็นคนเชื่อเพื่อน ก็เลยไปทำสัญญาเงินกู้ 15 ล้านบาทกับคู่กรณี โดยคิดว่าเพื่อนกันไม่มีอะไรหรอก โดยที่สุดท้ายไม่ได้เงินสักบาทเพราะถูกหลอก แถมเอาสัญญากู้เงินที่ทำใหม่นี้มาฟ้องแม่ผมข้อหาฉ้อโกง เนื่องจากเป็นบุคคลล้มละลาย แต่ไปทำสัญญาเงินกู้ซึ่งเป็นโมฆะ ทำให้คู่กรณีเสียหาย
ซึ่งทนายฝ่ายแม่ผมก็สู้อย่างเต็มที่ โดยหาพยานมาหักล้างคู่กรณี อีกทั้งยังมีข้อพิรุธหลาย ๆ อย่าง เช่น ทำไมให้แม่ผมเป็นเงินสด ทำไมไม่โอนเงินเข้าบัญชี และเงิน 15 ล้านคนแก่อายุ 74 จะแบกคนเดียวได้หรือ เพราะหนักถึง 15 กก. และทำไมถึงไม่มีเอกสารการเซ็นรับเงิน หรือแม้กระทั่งหลักฐานทางการเงินที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีคู่กรณีเพื่อจ่ายดอกเบี้ยหลาย ๆ ครั้ง ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าได้เป็นหนี้กันมาก่อนที่แม่ผมจะล้มละลายในปี พ.ศ. 2554
แต่ท้ายที่สุดศาลชั้นต้นเลือกที่จะเชื่อหลักฐานทางเอกสารที่เป็นสัญญาเงินกู้มากกว่าพยานแวดล้อม แม้ว่าคู่กรณีจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า แม่ผมได้รับเงินไปจริง แต่ศาลชั้นต้นก็ยกประโยชน์ให้กับคู่กรณี ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง คดีอาญาลักษณะนี้ศาลต้องยกประโยชน์ให้กับจำเลย โดยอาศัยหลักต้องเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ เพราะโทษคือการจำคุก ไม่ไช่เป็นคดีแพ่ง ซึ่งโทษคือการชดใช้ค่าเสียหาย
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับศาล แต่ก็ยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม โดยแม่ผมและทนายก็จะทำการยื่นอุทธรณ์ต่อไป แม้ว่าคดีนี้จะสามารถยอมความได้ แต่แม่ผมก็ยืนยันที่จะสู้จนถึงฏีกา เพราะเชื่อว่าตัวเองไม่ผิดเนื่องจากถูกหลอกให้ไปทำสัญญากู้เงิน และไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด และสุดท้ายแม่ผมก็ยืนยันหากศาลฎีกาชี้ว่าผิดจริง ก็ยินดีที่จะรับโทษ จะไม่หนีไปไหนเด็ดขาด"
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ นายศิริโชค โสภา โพสต์ข้อความดังกล่าวไปแล้ว ก็มีบรรดาแฟนคลับเข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงให้กำลังใจจำนวนมาก ซึ่งเจ้าตัวก็เขียนบรรยายขอบคุณผู้ให้กำลังใจไว้ว่า "ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ สำหรับผมไม่มีปัญหาครับ หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว สงสารแต่คุณแม่ครับ ยังสู้ได้อีกหลายยกครับ" พร้อมกับโพสต์รูปภาพที่ระบุข้อความ ว่า "It′S JUST A BAD DAY. NOT A BAD LIFE." ซึ่งแปลว่า ก็แค่วันแย่ ๆ วันหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเลวร้าย