เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร ฅ.คน
ในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา คุณคิดว่าจะทำความดีไปได้จนถึงเมื่อไร แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ เธอตั้งใจจะทำความดีตราบจนลมหายใจสุดท้าย...
ช่วงสายของวันหนึ่งกลางเดือนเมษายน ณ สุสานเม่งซิวซัวจึง จ.ปราจีนบุรี มีผู้คนหลายร้อยชีวิตพร้อมใจกันมาร่วมงานมหากุศลเก็บศพไร้ญาติ และท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น จะเห็นภาพของหญิงสูงวัยคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า วราภรณ์ งามประดิษฐกร หรือ อี๊พ้ง วัย 78 ปี กำลังขะมักเขม้นทำงานท่ามกลางแสงแดด โดยไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
งานเก็บศพไร้ญาตินั้น ถือเป็นงานการกุศลที่ไม่ได้มีค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน ดังนั้นผู้ที่มาร่วมงานนี้จึงมาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับอี๊พ้งที่เอ่ยว่า ไม่เคยคิดว่าช่วยผู้อื่นแล้วต้องได้บุญ...
เวลาเราไปล้างป่าช้าก็จะนั่งรถ บขส. บางทีก็นั่งรถไฟ นั่งรถตู้ ชอบนั่งรถที่ราคาประหยัด ก็จะไปกับเพื่อน 3-4 คน ต่างคนต่างออกค่ารถกันเอง ถ้ามีโรงเจให้นอนก็นอน ถ้าไม่มีก็ไปเช่าโรงแรมกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องเหนื่อยหรอก อี๊พ้ง บอก
นอกจากนี้ อี๊พ้ง ยังเดินทางไปร่วมกิจกรรมสาธารณกุศลอื่น ๆ ทั้งงานทิ้งกระจาด เทศกาลตรุษจีน เทศกาลกินเจ รวมถึงการช่วยเหลือผู้ประสบในพื้นที่ต่าง ๆ
เราไปช่วยเหลือเขา เราก็สบายใจ แต่ไม่คิดว่าช่วยแล้วต้องได้บุญ คนเราทำอะไรอย่าหวังผล และอย่าคิดว่าช่วยเขา แล้วเขาต้องมาช่วยเรา
แน่นอนว่าหญิงสูงวัยหัวใจอาสาคนนี้ ไม่เคยหวังผลตอบแทน แต่ถ้าได้รับสินน้ำใจจากการทำงานใดมา เธอก็จะนำเงินเหล่านั้นพร้อมทุนส่วนตัวไปบริจาคให้แก่มูลนิธิต่าง ๆ ด้วยความคิดที่ว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตของเธอ
คนเราอย่าหวังแต่เงิน บางคนมีเงินเยอะแต่ไม่มีความสุขจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนเราทำดียังไง มันก็ไม่ลำบาก คนอื่นจะมีเงินเราก็ไม่อิจฉา วาสนา เราไม่ได้อย่างนั้น เราก็ช่วยสังคมเท่าที่กำลังเรามี
แม้อี๊พ้งจะมีอายุถึง 78 ปี แล้ว แต่เธอมองว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข ไม่ถือเป็นอุปสรรคต่อการออกมาช่วยเหลือผู้อื่น ซ้ำการออกตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ ยังเป็นการออกกำลังกาย จนให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรง ไปไหนมาไหนสะดวก และทำให้ไม่มีโรคประจำตัวอีกด้วย
ช่วยคนอื่นก็เท่ากับช่วยตัวเรา มีความสุขไม่เจ็บไม่ไข้ สุขภาพแข็งแรง บางคนอายุไม่เท่าไหร่ แต่เดินไม่ได้แล้วก็มี เราทำตรงนี้ ขอแค่ให้เราแข็งแรงไม่เป็นอะไรก็สบายใจแล้ว ไม่ต้องมาเดือดร้อนชาวบ้านก็ดีแล้ว
ถึงการช่วยเหลือสังคมเช่นนี้ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของอี๊พ้งไปแล้ว แต่ขณะเดียวกัน เธอยังต้องทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพด้วย โดยอี๊พ้ง เล่าว่า ในวันที่ไม่ได้ไปทำงานจิตอาสา หรือออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ก็จะอยู่บ้าน ดูโทรทัศน์ พร้อมใช้จักรเย็บผ้าคู่ใจนั่งเย็บผ้าม่านผืนใหญ่ ซึ่งเป็นอาชีพหลัก หรือรับจ๊อบงานตัดเย็บเล็ก ๆ น้อย ๆ และด้วยความที่เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ โดยมีหลักการใช้เงิน คือ ส่วนหนึ่งไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกส่วนหนึ่งจะเป็นค่าเดินทางเวลาไปช่วยงานอาสา จึงสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ลำบากอะไร
ไม่แปลกเลยที่การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เสียสละ เป็นประโยชน์แก่สังคมเช่นนี้ ทำให้อี๊พ้งได้รับใบประกาศเกียรติคุณในฐานะอาสาสมัครดีเด่น จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เนื่องในวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติและวันอาสาสมัครไทย ปี 2554 โดยเธอเล่าถึงความรู้สึกที่มีต่อเกียรติบัตรนี้ว่า ภูมิใจก็ภูมิใจ แต่พูดจากใจจริงว่าทำดีไม่ได้หวังโน่นนี่ เราทำให้คนอื่นสบาย เราก็สบายตัวเราอย่างนี้เราทำด้วยความจริงใจ ไม่ได้คิดหวังความดีอะไร...
แม้ชีวิตเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยใกล้ฝั่ง แต่หญิงสูงวัยหัวใจอาสาคนนี้ ก็ไม่เคยมองความตายในแง่ร้าย และคิดว่า เปรียบเสมือนการได้กลับบ้าน ซึ่งสิ่งที่เตรียมไว้หากวาระสุดท้ายมาเยือน นั่นก็คือ การอุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อนำไปทำการศึกษาด้านการแพทย์
เราตายไปแล้วต้องไม่เสียเปล่า ให้เขาเอาไปทดลอง เวลามีคนเป็นอะไรจะได้รักษาได้ ที่เขาว่าบริจาคร่างกายแล้วชาติหน้าจะไม่มีแขน ไม่มีขา มันไม่จริงหรอก หากตอนมีชีวิตอยู่ได้ทำดี ตายไปก็ไม่ลำบาก แต่ถ้าทำไม่ดีเวลาตายก็ทรมาน ชาตินี้เห็นชัด ๆ เลยว่า ถ้าทำไม่ดีก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น
จากเรื่องราวทั้งหมดที่เล่ามา อี๊พ้ง พูดได้อย่างเต็มปากว่า เธอมีความสุขกับบั้นปลายชีวิตเช่นนี้ ถึงจะต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่ได้ห่วงอะไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่ได้เป็นภาระให้กับใคร พร้อมทั้งยืนยันว่า ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะยังคงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อไป เพราะการทำความดีเป็นสิ่งที่เธอรักเสมอมา
เรื่องราวทั้งหมด ที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องเล่าและแนวคิดของอี๊พ้งนั้น ถือเป็นแบบอย่างที่ดี ที่สอนให้ทุกคนได้รู้ว่า แม้คนเราจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง รวมถึงสังขารก็ยังร่วงโรยไปตามวัย แต่ถ้าหัวใจยังสู้ ทุกคนก็สามารถทำสิ่งที่ตัวเองรักต่อไปได้อย่างมีความสุข
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร ฅ.คน ปีที่ 8 ฉบับที่ 7 (90) พฤษภาคม 2556