เป็นกระแสฮือฮาในโลกโซเชียลกันยกใหญ่ หลังการรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดตัวตู้โดยสารนอนปรับอากาศรุ่นใหม่จำนวน 115 คัน จากประเทศจีน ไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ก็แหม จะไม่ให้พ่อยก แม่ยก ส่งเสียงเกรียวกราวกันได้อย่างไรล่ะครับ นี่มันเป็นการซื้อรถไฟตู้นอนแบบใหม่ถอดด้ามครั้งแรกในรอบ 20 ปีของการรถไฟฯ เลยนะ
เฮ้ย นี่มันรถไฟไทยจริงหรือเปล่า
แต่ก็นั่นแหละ เสียงลือเสียงเล่าอ้างไหนเลยจะเท่าตาตัวเองเห็นได้
ประจวบเหมาะกับกระปุกดอทคอมได้รับเชิญจากฝ่ายพีอาร์ของการรถไฟฯ ให้ร่วมเดินทางไปกับขบวนรถไฟพิเศษเพื่อทดสอบความพร้อมก่อนให้บริการจริงในเส้นทาง กรุงเทพฯ-ชุมพร
งานนี้บอกเลยว่า เราจะพาแฟน ๆ ร่วมเดินสำรวจทุกซอก ทุกมุม ตีแผ่ทั้งข้อดี ข้อเสีย ทุกแง่มุม อะไรดีเราชื่นชม อะไรที่ยังมีข้อให้ติเราก็ว่าไปตามจริง
ว่าแล้วเราเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า
ยินดีที่จะได้รู้จัก
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของตู้รถไฟชุดใหม่ทั้ง 115 คัน ซึ่งสั่งมาจากบริษัท CRRC (China Railway Rolling Stock Corporation) หรือ CNR (China CNR Corporation Limited) นี้กันก่อน
1. รถไฟฟ้ากำลัง จำนวน 9 คัน
2. รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 79 คัน
3. รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 สำหรับผู้พิการ จำนวน 9 คัน
4. รถนอนปรับอากาศ ชั้น 1 จำนวน 9 คัน
5. รถเสบียงปรับอากาศ จำนวน 9 คัน
แต่อย่าคิดว่าจะได้มาง่าย ๆ กว่ารถชุดนี้จะได้รับการอนุมัติ การรถไฟฯ ต้องเจรจาต่อรองกับผู้บริหารประเทศมาไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด แถมพอได้รับการอนุมัติก็ไม่ใช่ว่า สั่งปุ๊บจะได้ของทันที
ถามว่า ผู้ผลิตเขาไม่มีแบบสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้งานทันทีเลยหรือ
ตอบได้เลยว่ามี แต่มันไม่ตรงตามสเปคความต้องการของผู้บริหารการรถไฟฯ ที่ต้องการสร้างประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่ที่เน้นความสะดวกสบาย ฉีกรูปแบบเดิม ๆ ด้วยแนวคิดเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้สายเพื่อสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคโซเชียลไปพร้อม ๆ กับการยกระดับความปลอดภัย
ด้วยข้อเรียกร้องในเชิงเทคนิคและสิ่งอำนวยความสะดวกหลายประการ ตู้รถไฟล็อตใหม่นี้ใช้เวลาพัฒนาเกือบ 5 ปีเต็ม นับตั้งแต่มีคำสั่งซื้อเมื่อปี 2554
และมีการส่งมอบเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดเดินขบวนรถโดยสารรุ่นใหม่เที่ยวปฐมฤกษ์ เส้นทางกรุงเทพฯ-นครปฐม
เรียกว่ารอกันเหงือก (เกือบแห้ง) แต่ก็คุ้มค่า
เพราะจะว่าไปแล้ว ถ้าไม่รวมตู้รถไฟที่เราได้รับมาตามความร่วมมือระหว่าง JR West กับภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ญี่ปุ่นส่งให้หลายประเทศ) ตู้รถไฟใหม่ที่สุดของการรถไฟไทยต้องย้อนกลับไปถึงปี 2539-2540 สมัยนั้นใครได้นั่งรถนอนด่วนพิเศษนครพิงค์ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทีนี่แทบจะคุยไป 3 บ้าน 4 บ้าน
เซตชุดรถนอนทั้งขบวน ความสะดวกสบายสำหรับนักเดินทาง
ร่ายประวัติความเป็นมากันเสียยืดยาว เดี๋ยวแฟน ๆ จะเบื่อกันเสียก่อน เราไปทำความรู้จักตู้รถไฟใหม่กันเลยแล้วกันว่า ในแต่ละขบวนมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
อันดับแรก ที่จะขาดไม่ได้ คือ หัวรถจักร อันนี้นับว่าเป็นส่วนที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยังคงใช้หัวรถจักรเก่า แต่ทำการซ่อมบำรุงเปลี่ยนอะไหล่และพ่นสีใหม่เพื่อให้กลมกลืนไปกับตัวตู้ขบวนใหม่
ลองถามเลียบ ๆ เคียง ๆ เจ้าหน้าที่รถไฟว่า ทำไมไม่ใช้หัวรถจักร U-20 ใหม่ ที่สั่งมาจากจีนล่ะ เห็นในข่าวสั่งมาตั้ง 20 คัน
ได้คำตอบมาว่า หัวรถจักรดังกล่าว การรถไฟนำไปใช้ลากรถไฟขนส่ง เนื่องจากเป็นหัวรถจักรขนาดหนักไม่เหมาะที่จะนำมาลากรถไฟโดยสาร
ฟังแล้วก็คิดตามว่า อย่างนี้เราก็ยังคงต้องเสี่ยงดวงเหมือนเดิมใช่ไหม ตู้โดยสารใหม่แต่หัวรถจักรเก่าจะเสียเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
อย่างไรก็ตาม การรถไฟยืนยันกับทีมงานกระปุกดอทคอมว่า ถึงเป็นหัวรถจักรเก่าแต่ไส้ในเปลี่ยนอะไหล่ใหม่หมด อีกทั้งยังมีหัวจักรสำรองตามชุมทางต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เรื่องที่จะเสียเวลา 5-6 ชั่วโมง เหมือนสมัยก่อนมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมากจนถึงน้อยที่สุด
ส่วนที่สอง ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ (ของรถไฟไทย) เลยทีเดียว เพราะแต่เดิมมาตู้นอนรถไฟไทยจะมีตู้ปั่นไฟแยกอิสระเฉพาะของตนเอง แต่สำหรับขบวนรถไฟชุดใหม่จะมีรถไฟฟ้ากำลังหรือตู้ปั่นไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมา 1 คันเพื่อผลิตไฟจ่ายให้แก่ตู้อื่น ๆ แทนระบบเดิม โดยจะมีเครื่องปั่นไฟจำนวน 2 เครื่องสลับกันทำงาน
การเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้มีเสียงรบกวนจากการเดินทางน้อยมาก เสียงรบกวนจะมีก็จะเป็นเพียงเสียงของรางเสียมากกว่า ทั้งยังลดมลพิษที่เกิดจากเครื่องปั่นไฟแต่ละตัวไปด้วยในขณะเดียวกัน
งานนี้ผู้โดยสารได้ไปเต็ม ๆ ทั้งนอนหลับสบายไร้เสียงรบกวน ทั้งไม่ต้องทนเหม็นกับกลิ่นควันรบกวน โดยตู้ปั่นไฟจะอยู่ติดกับหัวรถจักรในเที่ยวขาออกจากกรุงเทพฯ และจะเป็นตู้สุดท้ายในเที่ยวขากลับเข้ากรุงเทพฯ
ถัดมาจะเป็นส่วนของขบวนรถนอน แบ่งเป็น รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 ขนาด 40 ที่นั่ง จำนวน 9 คัน รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 สำหรับผู้พิการ ขนาด 36 ที่นั่ง จำนวน 1 คัน (มีลิฟต์ยกรถวีลแชร์) และรถนอนปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 1 คัน รวมจำนวนผู้โดยสารเที่ยวละ 420 คน
ส่วนนี้เองที่เป็นไฮไลท์ต่อไปที่เราจะพาแฟน ๆ ไปเจาะลึกกันว่า มีดีจริงสมราคา (คุย) ของการรถไฟฯ หรือเปล่า
ส่วนสุดท้ายจะเป็นรถเสบียงปรับอากาศ จำนวน 1 คัน ซึ่งจะให้บริการแบบอาหารชุดอุ่นร้อน ซึ่งบอกได้เลยว่าเปลี่ยนไปจากตู้เสบียงโฉมเก่าจนเกือบจำไม่ได้
กล่าวโดยสรุป รถไฟขบวนใหม่จะมีส่วนประกอบ 14 คัน (รวมหัวรถจักร) ทั้งนี้ตู้ใหม่ทั้ง 13 คันจะถูกแพ็กกันไปตลอด ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จะเปลี่ยนได้เฉพาะกรณีหัวรถจักรเท่านั้น
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของตู้รถไฟชุดใหม่ทั้ง 115 คัน ซึ่งสั่งมาจากบริษัท CRRC (China Railway Rolling Stock Corporation) หรือ CNR (China CNR Corporation Limited) นี้กันก่อน
1. รถไฟฟ้ากำลัง จำนวน 9 คัน
2. รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 79 คัน
3. รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 สำหรับผู้พิการ จำนวน 9 คัน
4. รถนอนปรับอากาศ ชั้น 1 จำนวน 9 คัน
5. รถเสบียงปรับอากาศ จำนวน 9 คัน
แต่อย่าคิดว่าจะได้มาง่าย ๆ กว่ารถชุดนี้จะได้รับการอนุมัติ การรถไฟฯ ต้องเจรจาต่อรองกับผู้บริหารประเทศมาไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด แถมพอได้รับการอนุมัติก็ไม่ใช่ว่า สั่งปุ๊บจะได้ของทันที
ถามว่า ผู้ผลิตเขาไม่มีแบบสำเร็จรูปที่สามารถนำมาใช้งานทันทีเลยหรือ
ตอบได้เลยว่ามี แต่มันไม่ตรงตามสเปคความต้องการของผู้บริหารการรถไฟฯ ที่ต้องการสร้างประสบการณ์การเดินทางรูปแบบใหม่ที่เน้นความสะดวกสบาย ฉีกรูปแบบเดิม ๆ ด้วยแนวคิดเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้สายเพื่อสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคโซเชียลไปพร้อม ๆ กับการยกระดับความปลอดภัย
ด้วยข้อเรียกร้องในเชิงเทคนิคและสิ่งอำนวยความสะดวกหลายประการ ตู้รถไฟล็อตใหม่นี้ใช้เวลาพัฒนาเกือบ 5 ปีเต็ม นับตั้งแต่มีคำสั่งซื้อเมื่อปี 2554
และมีการส่งมอบเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดเดินขบวนรถโดยสารรุ่นใหม่เที่ยวปฐมฤกษ์ เส้นทางกรุงเทพฯ-นครปฐม
เพราะจะว่าไปแล้ว ถ้าไม่รวมตู้รถไฟที่เราได้รับมาตามความร่วมมือระหว่าง JR West กับภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ญี่ปุ่นส่งให้หลายประเทศ) ตู้รถไฟใหม่ที่สุดของการรถไฟไทยต้องย้อนกลับไปถึงปี 2539-2540 สมัยนั้นใครได้นั่งรถนอนด่วนพิเศษนครพิงค์ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทีนี่แทบจะคุยไป 3 บ้าน 4 บ้าน
เซตชุดรถนอนทั้งขบวน ความสะดวกสบายสำหรับนักเดินทาง
ร่ายประวัติความเป็นมากันเสียยืดยาว เดี๋ยวแฟน ๆ จะเบื่อกันเสียก่อน เราไปทำความรู้จักตู้รถไฟใหม่กันเลยแล้วกันว่า ในแต่ละขบวนมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
อันดับแรก ที่จะขาดไม่ได้ คือ หัวรถจักร อันนี้นับว่าเป็นส่วนที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยังคงใช้หัวรถจักรเก่า แต่ทำการซ่อมบำรุงเปลี่ยนอะไหล่และพ่นสีใหม่เพื่อให้กลมกลืนไปกับตัวตู้ขบวนใหม่
ลองถามเลียบ ๆ เคียง ๆ เจ้าหน้าที่รถไฟว่า ทำไมไม่ใช้หัวรถจักร U-20 ใหม่ ที่สั่งมาจากจีนล่ะ เห็นในข่าวสั่งมาตั้ง 20 คัน
ได้คำตอบมาว่า หัวรถจักรดังกล่าว การรถไฟนำไปใช้ลากรถไฟขนส่ง เนื่องจากเป็นหัวรถจักรขนาดหนักไม่เหมาะที่จะนำมาลากรถไฟโดยสาร
ฟังแล้วก็คิดตามว่า อย่างนี้เราก็ยังคงต้องเสี่ยงดวงเหมือนเดิมใช่ไหม ตู้โดยสารใหม่แต่หัวรถจักรเก่าจะเสียเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
อย่างไรก็ตาม การรถไฟยืนยันกับทีมงานกระปุกดอทคอมว่า ถึงเป็นหัวรถจักรเก่าแต่ไส้ในเปลี่ยนอะไหล่ใหม่หมด อีกทั้งยังมีหัวจักรสำรองตามชุมทางต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เรื่องที่จะเสียเวลา 5-6 ชั่วโมง เหมือนสมัยก่อนมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมากจนถึงน้อยที่สุด
ส่วนที่สอง ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ (ของรถไฟไทย) เลยทีเดียว เพราะแต่เดิมมาตู้นอนรถไฟไทยจะมีตู้ปั่นไฟแยกอิสระเฉพาะของตนเอง แต่สำหรับขบวนรถไฟชุดใหม่จะมีรถไฟฟ้ากำลังหรือตู้ปั่นไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมา 1 คันเพื่อผลิตไฟจ่ายให้แก่ตู้อื่น ๆ แทนระบบเดิม โดยจะมีเครื่องปั่นไฟจำนวน 2 เครื่องสลับกันทำงาน
การเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้มีเสียงรบกวนจากการเดินทางน้อยมาก เสียงรบกวนจะมีก็จะเป็นเพียงเสียงของรางเสียมากกว่า ทั้งยังลดมลพิษที่เกิดจากเครื่องปั่นไฟแต่ละตัวไปด้วยในขณะเดียวกัน
งานนี้ผู้โดยสารได้ไปเต็ม ๆ ทั้งนอนหลับสบายไร้เสียงรบกวน ทั้งไม่ต้องทนเหม็นกับกลิ่นควันรบกวน โดยตู้ปั่นไฟจะอยู่ติดกับหัวรถจักรในเที่ยวขาออกจากกรุงเทพฯ และจะเป็นตู้สุดท้ายในเที่ยวขากลับเข้ากรุงเทพฯ
ถัดมาจะเป็นส่วนของขบวนรถนอน แบ่งเป็น รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 ขนาด 40 ที่นั่ง จำนวน 9 คัน รถนอนปรับอากาศ ชั้น 2 สำหรับผู้พิการ ขนาด 36 ที่นั่ง จำนวน 1 คัน (มีลิฟต์ยกรถวีลแชร์) และรถนอนปรับอากาศชั้น 1 จำนวน 1 คัน รวมจำนวนผู้โดยสารเที่ยวละ 420 คน
ส่วนนี้เองที่เป็นไฮไลท์ต่อไปที่เราจะพาแฟน ๆ ไปเจาะลึกกันว่า มีดีจริงสมราคา (คุย) ของการรถไฟฯ หรือเปล่า
ส่วนสุดท้ายจะเป็นรถเสบียงปรับอากาศ จำนวน 1 คัน ซึ่งจะให้บริการแบบอาหารชุดอุ่นร้อน ซึ่งบอกได้เลยว่าเปลี่ยนไปจากตู้เสบียงโฉมเก่าจนเกือบจำไม่ได้
กล่าวโดยสรุป รถไฟขบวนใหม่จะมีส่วนประกอบ 14 คัน (รวมหัวรถจักร) ทั้งนี้ตู้ใหม่ทั้ง 13 คันจะถูกแพ็กกันไปตลอด ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จะเปลี่ยนได้เฉพาะกรณีหัวรถจักรเท่านั้น
พูดคุยรายละเอียดต่าง ๆ กับเจ้าหน้าที่รถไฟกันไปพอสมควร ในที่สุดพระเอกของเราก็ค่อย ๆ ถอยเข้าชานชาลา
ความรู้สึกแรกที่เห็น ไม่ว่าจะทรวดทรงองค์เอว รูปลักษณ์ภายนอก บอกเลยว่าแจ๋วกว่าที่คิด เรียกว่าถ้าเป็นตู้รถนอนก็ไม่น้อยหน้าใครในเอเชียแล้วกัน
หลังจากรถจอดสนิท จอภาพแสดงข้อมูลขบวนรถด้านนอกเป็นสิ่งแรกที่สะดุดตา
หน้าจอนี้จะแสดงข้อมูลทางการเดินรถ ข้อมูลหมายเลขตู้ เป็นแนวตั้ง แสดงครั้งละ 5 วินาที สลับภาษาไทย-อังกฤษ ซึ่งก็ให้ข้อมูลครบถ้วน ตลอดจนสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด
ความเปลี่ยนแปลงภายนอกอีกอย่างที่สังเกตเห็นก่อนขึ้นรถไฟ เราพบว่าลักษณะของบันไดเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับการยกระดับความสะดวกสบาย โดยจะเป็นบันไดไฟฟ้าอัตโนมัติปรับเปลี่ยนได้ 2 รูปแบบ คือ แบบบันได หรือแบบราบเรียบ
แบบบันได จะมีทั้งหมด 4 ขั้น ดูทีแรกก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการใช้งานอะไร ทว่าหลังจากที่เดินขึ้นเดินลงหลาย ๆ รอบแล้วพบว่า ขั้นที่ 1 และ 2 ค่อนข้างสั้นไปสักนิด เวลาเดินอาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ผู้โดยสารอาจพลาดลื่นไถลตกลงมาได้
ส่วนแบบราบเรียบ จะใช้ในกรณีที่ชานชาลาพื้นเสมอกับตัวรถ ผู้โดยสารสามารถเดินจากชานชาลาเข้าตัวรถได้เลย
ต่อจากนั้นเราเดินเข้ามาในตัวรถ บรรยากาศโดยรวมมีความโปร่ง โล่ง สะอาดตาไปจากเดิม โดยเฉพาะสีสันภายในที่ผู้ผลิตให้โทนสีสว่าง ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกว่าตัวรถมีขนาดใหญ่
ประตูเลื่อนภายในรถใช้ระบบสัมผัส การตั้งค่าเปิด-ปิดประตู คิดว่าทำได้ดี ไม่เร็ว ไม่ช้าเกินไป และจะไม่มีการเลื่อนเปิดอัตโนมัติเองเหมือนตู้โดยสารรุ่นเก่า ทั้งนี้จะมีเซ็นเซอร์ข้างบนเพื่อป้องกันประตูหนีบผู้โดยสาร
ตู้นอนชั้น 1 ครบครันตามราคา เหมาะสำหรับผู้ต้องการความเป็นส่วนตัว
ขึ้นรถกินน้ำ กินท่า ได้พักหนึ่ง รถค่อย ๆ แล่นออกจากสถานีหัวลำโพง เราไม่รอช้าขอให้เจ้าหน้าที่พาไปดูตู้โดยสารชั้น 1 กันแทบจะทันที
อย่างว่าล่ะครับ การรถไฟฯ อวดสรรพคุณไว้เยอะ
ระหว่างทางขณะที่เดินผ่านตู้โดยสาร ชั้น 2 และตู้เสบียง เราสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง แต่จะเอาไว้เล่าให้ฟังทีหลัง
จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าตู้โดยสาร ชั้น 1 มีทั้งหมด 24 ที่นั่ง แบ่งเป็นห้องส่วนตัวทั้งหมด 12 ห้อง และสามารถปรับห้องให้เชื่อมเข้าหากันได้ด้วย (พัก 2 ห้อง 4 ท่าน เป็นส่วนตัว)
ใน 1 ห้อง จะมีเตียงบน-เตียงล่าง แต่หากต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถซื้อแบบเหมาห้องได้ (นอนคนเดียวในห้อง)
ทั้งนี้ตำแหน่งของตู้โดยสาร ชั้น 1 หากเป็นเที่ยวขาออกจากกรุงเทพฯ ก็จะได้เห็นวิวทางรถไฟท้ายขบวน แต่ถ้าเที่ยวขากลับเข้ากรุงเทพฯ ก็จะเห็นวิวหัวรถจักรแทน
เท่าที่เห็นครั้งแรกลักษณะทางกายภาพภายนอกคล้ายของเดิม การจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ แทบไม่ต่างไปจากเดิม ห้องโดยสารจัดตามแนวขวางกับตู้นอน
มีทางเดินขนานไปตามแนวยาวแต่จะไม่กว้างมากนัก เวลาเดินต้องระวังชนกับคนที่เดินสวนทางมา
ที่จะเปลี่ยนไปจริง ๆ จะเป็นการเปลี่ยนประตูห้องเป็นแบบทึบ ซึ่งคนข้างนอกจะไม่สามารถมองไปในห้องพักได้เหมือนแต่ก่อน ส่วนการมองจากในห้องพักจะมีช่องตาแมวให้ดูข้างนอกได้ ตรงนี้นับว่าเป็นการเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารที่เดินทางคนเดียวเป็นอย่างมาก
ภายใน เราสัมผัสได้ถึงความแตกต่างจากตู้นอนชั้นเดิมตั้งแต่แรกเห็น ตั้งแต่การให้สีสันของเบาะนั่งกำมะหยี่สีบานเย็นสบายตา สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้า ที่เก็บสัมภาระ ทั้งเตียงบน เตียงล่าง มีการวางตำแหน่งได้อย่างเหมาะเจาะ
ส่วนที่ถือว่าเป็นของใหม่แกะกล่องที่สุดสำหรับรถไฟไทย คือ หน้าจอ LED อัจฉริยะ ส่วนตัวสำหรับผู้โดยสารทั้งเตียงบนและเตียงล่าง
จะดูหนัง ฟังเพลง สั่งอาหารออนไลน์จากตู้เสบียง ดูข้อมูลการเดินทาง ทุกอย่างทำได้หมดด้วยระบบสัมผัสเพียงปลายนิ้ว
นอกจากนั้นยังมีแผงควบคุมการทำงานของจอและช่อง USB เพื่ออำนวยความสะดวกเพิ่มเติมอยู่ตรงผนัง (ช่อง USB เสียบดูหนัง ฟังเพลงได้)
เราเดินเข้า-ออก ดูโน่น ดูนี่ พักใหญ่ โดยเฉพาะการทดสอบ ลองเล่นจอ LED ฟังก์ชั่นต่าง ๆ พบว่าสามารถใช้งานได้สะดวก
เท่าที่ลองเล่นทุกฟังก์ชั่นดูแล้ว เรารับประกันได้ว่า แม้แต่ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านไอทีก็น่าจะสามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา เนื่องจากมีคำสั่งภาษาไทยเป็นค่าเริ่มต้นการทำงาน
อีกส่วนที่ถือว่าอำนวยความสะดวกสำหรับคนในยุคโซเชียลเป็นอย่างมาก คือ การให้บริการปลั๊กไฟ 220 โวลต์ ทั้งเตียงบนและเตียงล่าง เรียกว่าหมดห่วงเรื่องแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือหมดตลอดการเดินทาง
ชั้น 2 ไม่น้อยหน้า ชั้น 1 บริการตามมาตรฐานสากล
หลังจากที่สำรวจตู้โดยสาร ชั้น 1 เป็นที่เรียบร้อย เราเดินย้อนกลับมายังตู้โดยสาร ชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นที่ผู้โดยสารให้ความสนใจมากที่สุด เนื่องจากมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนักหากเทียบกับการเดินทางในรูปแบบอื่น
มองเผิน ๆ เหมือนตู้โดยสาร ชั้น 2 ใหม่ จัดวางที่นั่ง ที่นอน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่ได้แตกต่างไปจากตู้โดยสารของเดิมมากนัก
แต่ในรายละเอียดสิครับ บอกได้เลยว่าเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร
อย่างแรกเบาะที่นั่งเปลี่ยนเป็นกำมะหยี่ด้าน สีแดงเลือดหมู พนักพิงตั้งตรง เรื่องขนาดอาจจะไม่กว้างขวางเท่าเบาะชั้น 1 แต่ก็ให้ความสบายอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตามในอนาคตหากใช้งานไปสักระยะอาจจะต้องเปลี่ยนเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่ายกว่านี้
และหากสังเกตดี ๆ จะพบว่ามีอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มขึ้นมาอีก 2 รายการ ได้แก่ ปลั๊กไฟ 220 โวลต์ ในทุกที่นอน (ย้ำว่าไม่ใช่ทุกที่นั่ง) เพราะจะมีบางที่นั่งเท่านั้นที่มีปลั๊กไฟตอนปรับเป็นที่นั่งแล้ว
ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบรักษาความปลอดภัยอื่น ๆ ก็มีให้อย่างครบครันตามมาตรฐานสากลหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเป็นจอ LED แสดงข้อมูลและสถานะขบวนรถ (มีทั้งหมด 4 จอ แขวนอยู่บนเพดาน) หรือกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกบรรจุเข้ามาเพื่อยกระดับมาตรฐานตามนโยบายของการรถไฟฯ ทั้งสิ้น
ฟังดูเหมือนมีแต่ข้อดีไม่มีข้อให้ติ
ทว่าหลังจากที่ทดสอบดูอุปกรณ์หลาย ๆ อย่าง เราพบว่ายังมีจุดให้ติอยู่ และเมื่อมีการเปิดใช้งานจริงข้อบกพร่องเหล่านี้จะสร้างปัญหาแก่ผู้โดยสารอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะเรื่องของเตียงนอนที่มีขนาดสั้นและแคบกว่าตู้นอนของเดิม ซึ่งกระปุกดอทคอมได้ทดลองให้คนที่สูง 180 เซนติเมตร ปรับเตียงบนเพื่อลองนอนดู พบว่าปลายเท้าจะชนกับผนังที่กั้นระหว่างตู้พอดี
หากจะนอนให้สบายผู้โดยสารต้องนอนเอียงเอาปลายเท้าออกมาด้านนอกระหว่างทางเดิน ตรงนี้คิดว่าผู้โดยสารคงไม่แฮปปี้เท่าใดนัก
อีกส่วนหนึ่งแม้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็คิดว่าจะสร้างความจุกจิกรำคาญไม่มากก็น้อย คือ เรื่องของโต๊ะทานอาหารระหว่างที่นั่ง ซึ่งแต่เดิมจะเป็นแบบยาวถอดเก็บได้ แต่ของใหม่จะเป็นโต๊ะเล็กแบบพับ
ที่ว่าเล็กนี่ เล็กและสั้นจริงๆ เพราะสามารถวางน้ำและกล่องอาหารได้เพียง 2 ชุดเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของบันไดเตียงชั้นบนที่เป็นบันไดพับที่ดูแล้วใช้งานยากกว่าของเดิม ทั้งยังดูจะไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก ตรงนี้คิดอายุการใช้งานไม่น่าจะคงทนเท่าไร
ที่วางกระเป๋าสัมภาระชั้นล่างเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หายไปจากเดิม แต่ข้อดีคือทำให้ช่องทางเดินกว้างขึ้น ตรงนี้อาจจะเป็นเงื่อนไขตามคำสั่งซื้อของการรถไฟฯ ที่ต้องการให้มีทางเดินขนาดใหญ่เพื่อให้รถวีลแชร์สามารถแล่นผ่านได้โดยสะดวก
ส่วนชั้นวางกระเป๋าเตียงบนมีการย้ายจากบริเวณบันไดทางขึ้น-ลง ไปติดไว้บนเพดานแทน ขนาดดูด้วยตาเปล่าคิดว่าน่าจะใช้งานได้ดีไม่มีปัญหา แต่ในความเป็นจริง ความสูงของช่องวางสัมภาระแคบมาก กระเป๋าเดินทางแบบลาก หรือแบ็คแพ็กใบใหญ่ ๆ ไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าจะเอาขึ้นไปวางเลย
บอกได้คำเดียว เรื่องนี้การรถไฟฯ โดนด่าเละแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้แล้ว ทางการรถไฟฯ จะเก็บรวบรวมข้อมูลปัญหาต่าง ๆ หลังการเปิดใช้งานจริงเพื่อนำมาสรุปและหาแนวทางแก้ไขในอนาคต
พื้นที่และบริการพิเศษสำหรับผู้พิการ ครั้งแรกของรถไฟไทย
นอกจากความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ชุดรถไฟใหม่นี้ได้เพิ่มตู้นอน ชั้น 2 พิเศษสำหรับผู้พิการเข้ามาเพื่อยกมาตรฐานให้เทียบเท่าระดับสากล โดยปรับขนาดให้เหลือ 36 ที่นั่ง บรรยากาศโดยรวมเหมือนตู้นอน ชั้น 2 อื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป (ผู้โดยสารปกติสามารถจองได้)
แต่ภายในจะมีการเพิ่มขนาดของทางเดินจาก 65 เซนติเมตร เป็น 78 เซนติเมตร และเป็นทางเดินเสมอระดับเชื่อมต่อกับตู้อื่นแบบไม่สะดุด รถเข็นวีลแชร์สามารถเคลื่อนผ่านได้สะดวกและปลอดภัย
สำหรับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่เพิ่มเติมขึ้นมา ประกอบด้วย
1. ลิฟต์สำหรับยกวีลแชร์ ใช้งานได้ทั้งชานชาลาต่ำและชานชาลาสูง พร้อมที่เก็บวีลแชร์และวีลแชร์สำรอง
2. ห้องสุขาขนาดใหญ่ ออกแบบตามหลัก Universal Design รถเข็นสามารถเข้าไปได้ พร้อมปุ่มขอความช่วยเหลือ 3 จุด โดยห้องน้ำสำหรับผู้พิการจะอยู่ด้านที่ติดกับตู้เสบียง
3. พื้นที่รับประทานอาหารในตู้เสบียงสำหรับผู้ใช้รถวีลแชร์ บริเวณนี้จะออกแบบเป็นพื้นที่ลานว่างพร้อมโต๊ะวางอาหารแบบพับเก็บได้ แต่ตรงนี้อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เนื่องจากโต๊ะมีขนาดสั้นและเล็กทำให้ใช้งานไม่ค่อยสะดวกนัก
4. การเพิ่มอักษรเบรลล์ ตามปุ่มประตู ปุ่มขอความช่วยเหลือ และปุ่มสั่งการทำงานของระบบต่าง ๆ
ทั้งนี้ในการทดสอบการเดินรถเที่ยวนี้ ได้มีการสาธิตการใช้งานระบบลิฟต์ยกรถวีลแชร์ แต่เท่าที่ดูแล้ว ไม่รู้จะด้วยความไม่ชำนาญการ หรือการตั้งค่าอุปกรณ์ที่ยังไม่ลงตัว การทดลองจึงออกมาไม่ค่อยราบรื่นมากนัก
โดยเฉพาะช่องว่างระหว่างพื้นสถานีและลิฟต์ยกวีลแชร์ เมื่อเลื่อนลงไปจนสุดแล้วยังมีระยะห่างอยู่พอสมควร และอาจส่งผลให้เกิดอันตรายได้ ตรงนี้การรถไฟฯ คงต้องไปปรับการตั้งค่าระบบการทำงานของลิฟต์ยกวีลแชร์ในลำดับต่อไป
ปฏิรูปความปลอดภัยทั้งระบบ เพิ่มความมั่นใจในการเดินทาง
ระบบความปลอดภัยเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขบวนรถไฟชุดใหม่นี้เปลี่ยนแปลงไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกแบบใหม่ กล้อง CCTV 24 ชั่วโมง หน้าจอ LED อัพเดทข้อมูลขบวนรถ ปุ่มเรียกพนักงานฉุกเฉิน ไฟฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ทุกระบบความปลอดภัย มาแบบจัดเต็มไม่มีลดสเปค
โดยเฉพาะระบบเบรกที่เปลี่ยนจากระบบดรัมเบรกเป็นระบบดิสก์เบรกแบบเดียวกับที่ใช้ในรถไฟฟ้าความเร็วสูงหรือรถไฟฟ้า ตลอดจนระบบอัตโนมัติแจ้งเตือนการปิดประตูไม่สนิทก่อนขบวนรถออกสถานี
เรื่องระบบเบรกถึงจะเป็นการทดลองนั่งในระยะสั้น ๆ แต่เราการันตีคุณภาพได้ เบรกนุ่ม เบรกอยู่ เบรกเงียบจริง ๆ
สำหรับระบบกล้องวงจรปิด CCTV เพื่อสอดส่องความปลอดภัยจะมีติดอยู่ในทุกตู้โดยสาร และจะมีเจ้าหน้าที่สลับหมุนเวียนกันเฝ้าสังเกตในห้องควบคุมประจำขบวนตลอดการเดินทาง
ในส่วนของปุ่มเรียกขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจะอยู่ใกล้กับประตูทางขึ้น-ลงทั้ง 2 ฝั่ง หรือในพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น ห้องน้ำและในพื้นที่มุมอับ ที่เจ๋งไปกว่านั้น คือ ปุ่มเรียกขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือปุ่มเปิด-ปิดประตูต่าง ๆ จะมีอักษรเบรลล์สำหรับผู้พิการทางสายตากำกับอยู่ทุกปุ่ม
นอกจากนี้ ยังมีระบบไฟสำรองไว้รองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น กรณีไฟดับ ไฟฉุกเฉินที่ซ่อนอยู่จะให้แสงสว่างนำทางไปสู่ทางออกฉุกเฉิน ฟังแล้วหายห่วง
สุขาระบบปิด ความเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขอนามัย
ห้องสุขาอีกส่วนหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็แหม ระบบเดิมทำชื่อ (เสีย) ไว้กับการรถไฟฯ ซะขนาดนั้น
จะไม่ให้เป็นชื่อเสียงได้อย่างไรล่ะ ระบบห้องสุขาเดิมของรถไฟไทย พวกเล่นเป็นระบบเปิด ไม่ว่าจะถ่ายหนัก ถ่ายเบา ทุกอย่างถูกปล่อยลงสู่ทางรถไฟทันที
ยิ่งตอนรถไฟจอดแวะตามสถานีด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็มีคำเตือนว่าห้ามใช้ขณะรถจอดที่สถานี พี่ไทย น้องไทย ไม่สนอะไรทั้งนั้น
แต่ระบบห้องสุขาใหม่ที่มาพร้อมกับตู้รถไฟขบวนใหม่นี้ จะเป็นครั้งแรกของรถไฟไทยที่จะเป็นห้องสุขาระบบปิดแบบเดียวกับที่ใช้งานบนเครื่องบิน สิ่งปฏิกูลทุกอย่างจะไม่มีปล่อยเรี่ยราดตามทางอีกต่อไป ที่สำคัญ คือ สามารถใช้บริการได้แม้ว่าจะเป็นช่วงที่รถจอดที่สถานี
การให้บริการห้องสุขา ชั้น 2 จะมีห้องสุขา จำนวน 2 ห้อง และห้องสำหรับปัสสาวะชาย จำนวน 1 ห้อง (มีอ่างล้างมือในห้อง) นอกจากนั้นจะมีอ่างล้างมือด้านนอกจำนวน 2 อ่างให้บริการควบคู่กันไป
สำหรับตู้ชั้น 1 จะมีบริการห้องสุขา จำนวน 2 ห้อง และห้องสำหรับปัสสาวะชาย 1 ห้องเช่นกัน แต่จะไม่มีอ่างล้างมือข้างนอก เนื่องจากแต่ละห้องจะมีอ่างล้างมือในตัวอยู่แล้ว
บริการน้ำอุ่นให้อาบน้ำฟรีบนขบวนรถไฮไลท์จุดขายของชั้น 1 ที่เพิ่มมาอีกอย่าง ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อนะครับ และมาแบบครบเซตสบู่ ยาสระผมพร้อม
เรียกว่าตื่นเช้ามาอาบน้ำ ลงรถไปเที่ยวต่อแบบสวย ๆ หล่อ ๆ ได้ทันที
แต่ก็มีข้อแม้การใช้งานอยู่เหมือนกัน คือ ต้องรีบตื่นมาอาบแต่ไก่โห่ เพราะว่าห้องอาบน้ำมีเพียงห้องเดียว ช่วงเช้า ๆ คงมีตบตีแย่งชิงกันอย่างแน่นอน
ตู้เสบียง อาหารเซตแบบใหม่ ยกระดับความสะอาด
เดินทางด้วยรถไฟตู้นอน ถ้าไม่พูดถึงรถไฟตู้เสบียงก็คงไม่ครบอรรถรสในการเดินทาง โดยเฉพาะเมนูขึ้นชื่ออย่างข้าวผัดรถไฟที่ชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วโลก
ตู้เสบียงของขบวนรถไฟใหม่จะเป็นห้องปรับอากาศ บรรยากาศเรียบง่าย ตกแต่งคล้ายร้านอาหารยุคใหม่ที่เน้นความโล่งสบายตา ตกแต่งด้วยโทนสีครีม เขียว แยกสัดส่วนชัดเจนระหว่างพื้นที่นั่งรับประทานอาหาร เคาน์เตอร์ขายอาหาร และพื้นที่ทำครัวชัดเจน มีโต๊ะนั่งรับประทานอาหาร 32 ที่นั่ง และที่สำหรับวีลแชร์อีก 2 ที่
ภายในห้องครัวเท่าที่สังเกตดูเน้นวัสดุสเตนเลสที่ทำความสะอาดง่าย มีระบบกำจัดควันเพื่อกำจัดกลิ่นรบกวนผู้ใช้บริการ ส่วนอาหารที่ให้บริการจะเป็นอาหารเซตแช่แข็งมาอุ่นร้อน ไม่มีการทำใหม่บนรถ
เมนูต่าง ๆ มีทั้งของใหม่และของเดิมที่ขึ้นชื่อ ที่ลองชิมดูบางเมนูบอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังจริง
อย่างไรก็ตามมีบางส่วนบอกว่าเสียดายความคลาสสิกของอาหารรถไฟ ที่เมื่อเข้ามาตู้เสบียงแล้วต้องได้กลิ่นหอมและควันไฟของการประกอบอาหาร โดยเฉพาะเมนูข้าวผัดรถไฟอันเลื่องชื่อ ที่ต่อจากนี้จะไม่มีกลิ่นไหม้จากกระทะอันเป็นเอกลักษณ์อีกแล้ว
บริการใหม่อีกส่วนที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ ตู้เสบียงของรถไฟขบวนใหม่จะมีการให้บริการ Wi-Fi อินเทอร์เน็ตฟรี จะทำงาน จะดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมออนไลน์ โพสต์รูปภาพ เช็กเฟซบุ๊กทำได้หมด ตรงนี้นับว่าตอบโจทย์คนยุคโซเชียลอย่างแท้จริง
ต่อยอดลูกค้ากลุ่มเดิม วิ่งเส้นทางท่องเที่ยวยอดฮิต
คำถามยอดฮิตอีกหนึ่งคำถามที่ทีมพีอาร์การรถไฟฯ มักต้องตอบคำถามแฟน ๆ รถไฟไทยอยู่เป็นประจำ คือ รถขบวนใหม่ทั้ง 115 คันนี้จะวิ่งในเส้นทางไหนบ้าง เปิดใช้เมื่อไหร่ ราคาค่างวดเป็นอย่างไร
ตอบง่าย ๆ ว่าจะเป็นการต่อยอดเพื่อบริการลูกค้ากลุ่มเดิม วิ่งตามเส้นทางท่องเที่ยวยอดฮิต 3 ภาค 4 เส้นทาง ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคอีสานเหนือ ภาคอีสานใต้ และภาคใต้ ประกอบด้วย
1. ขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถี ที่ 9 และ 10 กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ : วิ่งในเส้นทาง หัวลำโพง-สามเสน-บางซื่อ-บางเขน-หลักสี่-ดอนเมือง-รังสิต-อยุธยา-ลำปาง-เชียงใหม่
เปิดเดินรถในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 (เที่ยวไป) และวันที่ 12 พฤศจิกายน 2559 (เที่ยวกลับ)
2. ขบวนรถด่วนพิเศษอีสานวัตนา ที่ 23 และ 24 กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ : วิ่งในเส้นทาง หัวลำโพง-สามเสน-บางซื่อ-บางเขน-หลักสี่-ดอนเมือง-รังสิต-อยุธยา-นครราชสีมา-บุรีรัมย์-สุรินทร์-ศรีสะเกษ-อุบลราชธานี
เปิดเดินรถในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2559 (เที่ยวไป) และวันที่ 12 พฤศจิกายน 2559 (เที่ยวกลับ)
3. ขบวนรถด่วนพิเศษอีสานมรรคา ที่ 25 และ 26 กรุงเทพฯ-หนองคาย-กรุงเทพฯ : วิ่งในเส้นทาง หัวลำโพง-สามเสน-บางซื่อ-บางเขน-หลักสี่-ดอนเมือง-รังสิต-อยุธยา-ขอนแก่น-อุดรธานี-หนองคาย
เปิดเดินรถในวันที่ 2 ธันวาคม 2559 (เที่ยวไป) และวันที่ 3 ธันวาคม 2559 (เที่ยวกลับ)
4. ขบวนรถด่วนพิเศษทักษิณารัถย์ ที่ 31 และ 32 กรุงเทพฯ-ชุมทางหาดใหญ่-กรุงเทพฯ : วิ่งในเส้นทาง หัวลำโพง-สามเสน-บางซื่อ-บางบำหรุ-ศาลายา-นครปฐม-ราชบุรี-เพชรบุรี-หัวหิน-บางสะพานใหญ่-ชุมพร-สุราษฎร์ธานี-ชุมทางทุ่งสง-พัทลุง-ชุมทางหาดใหญ่
เปิดเดินรถในวันที่ 2 ธันวาคม 2559 (เที่ยวไป) และวันที่ 3 ธันวาคม 2559 (เที่ยวกลับ)
ทั้งนี้ผู้โดยสารที่ได้จองตั๋วโดยสารไว้ล่วงหน้าแล้ว และมีกำหนดเดินทางหลังจากขบวนรถใหม่เริ่มให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน และวันที่ 2 ธันวาคม 2559 นั้น ผู้โดยสารสามารถใช้บริการรถโดยสารรุ่นใหม่ได้ทันที โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม
จองตั๋วตามขั้นตอนปกติ ใคร ๆ ก็ขึ้นได้
สำหรับราคาค่าตั๋วช่วงแรก 3 เดือน เป็นราคาโปรโมชั่นเท่าเรตราคารถด่วนนอนปรับอากาศที่ให้บริการในปัจจุบัน หลังจากนั้นจะมีการปรับราคาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560
อัตราค่าโดยสารรถขบวนใหม่ทั้ง 4 เส้นทาง ประกอบด้วย
1. เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,253 บาท เตียงล่าง 1,453 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 791 บาท เตียงล่าง 881 บาท
2. เส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,120 บาท เตียงล่าง 1,320 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 731 บาท เตียงล่าง 821 บาท
3. เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,157 บาท เตียงล่าง 1,357 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 748 บาท เตียงล่าง 838 บาท
4. เส้นทางกรุงเทพฯ-หาดใหญ่-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,394 บาท เตียงล่าง 1,594 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 855 บาท เตียงล่าง 945 บาท
ส่วนการจองตั๋วสามารถจองล่วงหน้าได้ 60 วัน ตาม 2 ช่องทางปกติ ได้แก่
1. สถานีรถไฟทั่วประเทศ (จ่ายเงินและรับตั๋วได้ทันที)
2. จองผ่าน Call Centers หมายเลข 1690 (นำรหัสตั๋วไปรับตั๋วได้ที่สถานีที่ใกล้ที่สุดไม่เกิน 22.00 น. ในวันถัดไป)
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่พีอาร์การรถไฟฯ แจ้งกับเราว่า ตั๋วถูกจองเต็มไปจนถึงเดือนมกราคมปี 2560 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับการจองตั๋วผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต การรถไฟฯ แจ้งว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนนาระบบใหม่อยู่ เนื่องจากระบบเดิมที่เคยใช้งานติดปัญหาขัดข้องทางกฎหมายกับผู้รับเหมาเดิม และคิดว่าอีกไม่นานจะสามารถเปิดให้ใช้งานได้ทั้งการจองตั๋วและการจ่ายเงินออนไลน์อย่างเต็มระบบ
นักเดินทางที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.railway.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Centers 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง และทางเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย
สำหรับราคาค่าตั๋วช่วงแรก 3 เดือน เป็นราคาโปรโมชั่นเท่าเรตราคารถด่วนนอนปรับอากาศที่ให้บริการในปัจจุบัน หลังจากนั้นจะมีการปรับราคาประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปี 2560
อัตราค่าโดยสารรถขบวนใหม่ทั้ง 4 เส้นทาง ประกอบด้วย
1. เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,253 บาท เตียงล่าง 1,453 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 791 บาท เตียงล่าง 881 บาท
2. เส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,120 บาท เตียงล่าง 1,320 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 731 บาท เตียงล่าง 821 บาท
3. เส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,157 บาท เตียงล่าง 1,357 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 748 บาท เตียงล่าง 838 บาท
4. เส้นทางกรุงเทพฯ-หาดใหญ่-กรุงเทพฯ รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 1 เตียงบน 1,394 บาท เตียงล่าง 1,594 บาท/รถปรับอากาศนั่งและนอน ชั้น 2 เตียงบน 855 บาท เตียงล่าง 945 บาท
ส่วนการจองตั๋วสามารถจองล่วงหน้าได้ 60 วัน ตาม 2 ช่องทางปกติ ได้แก่
1. สถานีรถไฟทั่วประเทศ (จ่ายเงินและรับตั๋วได้ทันที)
2. จองผ่าน Call Centers หมายเลข 1690 (นำรหัสตั๋วไปรับตั๋วได้ที่สถานีที่ใกล้ที่สุดไม่เกิน 22.00 น. ในวันถัดไป)
อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่พีอาร์การรถไฟฯ แจ้งกับเราว่า ตั๋วถูกจองเต็มไปจนถึงเดือนมกราคมปี 2560 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับการจองตั๋วผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต การรถไฟฯ แจ้งว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนนาระบบใหม่อยู่ เนื่องจากระบบเดิมที่เคยใช้งานติดปัญหาขัดข้องทางกฎหมายกับผู้รับเหมาเดิม และคิดว่าอีกไม่นานจะสามารถเปิดให้ใช้งานได้ทั้งการจองตั๋วและการจ่ายเงินออนไลน์อย่างเต็มระบบ
นักเดินทางที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.railway.co.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Centers 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง และทางเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย