เสี่ยท็อป ถูกศาลตัดสินจำคุก 6 เดือน คดีเช็กเด้ง เตรียมฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ทนายเผย เสี่ยท็อปกังวลโรคเบาหวานและธุรกิจที่จะได้รับเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงจับกุมตัว เสี่ยท็อป หรือ เสี่ยกำมะลอ ไปส่งศาลแขวงพระนครเหนือ ในคดี พ.ร.บ.เช็ค ไม่ใช่คดีหลอกน้องดา สาวพริตตี้แต่งงาน ซึ่ง เสี่ยท็อป ไม่ได้มีอาการเครียดหรือกังวลและยังไม่มีการประสานเรื่องประกันตัวแต่อย่างใดนั้น
อ่านข่าว : หิ้วฝากขังศาล เสี่ยท็อป ยังยิ้มได้หลังนอนคุก ดูไม่เครียด แต่เบาหวานพุ่ง 380
ล่าสุด (18 ตุลาคม 2562) ไทยโพสต์ รายงานว่า ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง
ได้คุมตัว นายธนณัฏฐ์ สิริปิยพร หรือ เสี่ยท็อป อายุ 49 ปี
ผู้ต้องหาตามหมายจับระหว่างพิจารณาศาลแขวงพระนครเหนือ คดีอาญาหมายเลขดำที่
อ.8062/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อ.9319/2559 ข้อหากระทำความผิดตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
ซึ่งหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาของศาลในปี พ.ศ. 2559
ศาลแขวงพระนครเหนือจึงออกหมายจับลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 จึงมีการคุมตัว
เสี่ยท็อป มาบังคับตามคำพิพากษาในวันนี้
โดยคำฟ้องคดี ระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2557 น.ส.สุภาพรณ์ อัมภาพันธุ์กิจ ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ในคดีออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
ทั้งนี้ น.ส.สุภาพรณ์ ได้รับการติดต่อจาก เสี่ยท็อป เพื่อที่จะขอซื้อคลินิกเสริมความงามชื่อ ไอซิสคลินิก ที่ น.ส.สุภาพรณ์ เป็นเจ้าของ โดยมีการพูดสร้างความน่าเชื่อถือ พูดจาหว่านล้อมต่าง ๆ จนทำให้ น.ส.สุภาพรณ์ ตัดสินใจขายคลินิกให้แก่ เสี่ยท็อป ในราคา 8 ล้าน 5 แสนบาท และได้สั่งจ่ายเช็คให้กับ น.ส.สุภาพรณ์
แต่หลังจากที่ น.ส.สุภาพรณ์ นำเช็คไปขึ้นเงิน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน และหลังจากนั้นเสี่ยท็อป ได้นำชื่อคลินิกไปใช้ในการแอบอ้างหลอกลวงผู้อื่นในทางเสียหาย จนทำให้คลินิกของ น.ส.สุภาพรณ์ เสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก น.ส.สุภาพรณ์ จึงขอดำเนินคดี เสี่ยท็อป ให้ถึงที่สุด เพื่อให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว
ภายหลัง ว่าที่ร้อยตรี ดร.สุรพล สินธุนาวา ทนายความของ เสี่ยท็อป เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ว่า เมื่อปี 2559 เสี่ยท็อป ได้ตกลงกับคู่ค้าจะลงทุนทำธุรกิจเสริม วงเงิน 8 ล้าน ต่อรองลงมาเหลือ 4.5 ล้าน และตกลงกันล่าสุดเหลือ 1 ล้านบาท โดย เสี่ยท็อป ได้จ่ายเป็นเช็คให้ แต่เช็คไม่สามารถขึ้นเงินได้ หรือเช็คเด้ง ทำให้คู่กรณีมาฟ้องร้องเสี่ยท็อป ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ซึ่งต่อมา แม่ของเสี่ยท็อป จึงได้นำโฉนดที่ดิน ที่ลำลูกกาคลอง 4 มาวางไว้เพื่อเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ว่าจะนำเงินมาชดใช้ให้ในภายหลัง ซึ่งขณะนี้โฉนดที่ดินก็ยังอยู่กับคู่กรณี และยังไม่มีการเซ็นชื่อโอนที่ดินให้กันแต่อย่างใด
เมื่อถึงวันฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 เสี่ยท็อป กลับไม่มาฟังคำพิพากษาและไม่อ้างเหตุแห่งความจำเป็น โดยอ้างว่าเพียงว่าติดภารกิจที่ต่างประเทศ ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย สั่งจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับให้ออกหมายจับจำเลยไว้
จากนั้น เสี่ยท็อป ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ทำให้ขาดอุทธรณ์และทำให้คดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากตำรวจติดตามจับกุมตัวเสี่ยท็อปได้จึงนำส่งศาล ศาลได้แจ้งผลคำพิพากษาให้ เสี่ยท็อป ทราบว่า คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว และให้รับโทษตามคำพิพากษาคือ จำคุก 6 เดือน จึงต้องส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยญาติจะไปเยี่ยม เสี่ยท็อป ที่เรือนจำในช่วงบ่ายนี้
ทั้งนี้ ทนายความยังระบุด้วยว่า ตัวเสี่ยท็อปเองอ้างว่ามีความกังวลเรื่องของสุขภาพ เนื่องจากเป็นโรคเบาหวานและกังวลเรื่องเงินจากการทำธุรกิจที่จะได้รับประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นธุรกิจด้านไหน เกี่ยวกับเรื่องอะไร
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, เฟซบุ๊ก ข่าวช่องวัน
อ่านข่าว : หิ้วฝากขังศาล เสี่ยท็อป ยังยิ้มได้หลังนอนคุก ดูไม่เครียด แต่เบาหวานพุ่ง 380
โดยคำฟ้องคดี ระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2557 น.ส.สุภาพรณ์ อัมภาพันธุ์กิจ ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ในคดีออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
ทั้งนี้ น.ส.สุภาพรณ์ ได้รับการติดต่อจาก เสี่ยท็อป เพื่อที่จะขอซื้อคลินิกเสริมความงามชื่อ ไอซิสคลินิก ที่ น.ส.สุภาพรณ์ เป็นเจ้าของ โดยมีการพูดสร้างความน่าเชื่อถือ พูดจาหว่านล้อมต่าง ๆ จนทำให้ น.ส.สุภาพรณ์ ตัดสินใจขายคลินิกให้แก่ เสี่ยท็อป ในราคา 8 ล้าน 5 แสนบาท และได้สั่งจ่ายเช็คให้กับ น.ส.สุภาพรณ์
แต่หลังจากที่ น.ส.สุภาพรณ์ นำเช็คไปขึ้นเงิน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน และหลังจากนั้นเสี่ยท็อป ได้นำชื่อคลินิกไปใช้ในการแอบอ้างหลอกลวงผู้อื่นในทางเสียหาย จนทำให้คลินิกของ น.ส.สุภาพรณ์ เสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก น.ส.สุภาพรณ์ จึงขอดำเนินคดี เสี่ยท็อป ให้ถึงที่สุด เพื่อให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว
ภายหลัง ว่าที่ร้อยตรี ดร.สุรพล สินธุนาวา ทนายความของ เสี่ยท็อป เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ว่า เมื่อปี 2559 เสี่ยท็อป ได้ตกลงกับคู่ค้าจะลงทุนทำธุรกิจเสริม วงเงิน 8 ล้าน ต่อรองลงมาเหลือ 4.5 ล้าน และตกลงกันล่าสุดเหลือ 1 ล้านบาท โดย เสี่ยท็อป ได้จ่ายเป็นเช็คให้ แต่เช็คไม่สามารถขึ้นเงินได้ หรือเช็คเด้ง ทำให้คู่กรณีมาฟ้องร้องเสี่ยท็อป ต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ซึ่งต่อมา แม่ของเสี่ยท็อป จึงได้นำโฉนดที่ดิน ที่ลำลูกกาคลอง 4 มาวางไว้เพื่อเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ว่าจะนำเงินมาชดใช้ให้ในภายหลัง ซึ่งขณะนี้โฉนดที่ดินก็ยังอยู่กับคู่กรณี และยังไม่มีการเซ็นชื่อโอนที่ดินให้กันแต่อย่างใด
เมื่อถึงวันฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 เสี่ยท็อป กลับไม่มาฟังคำพิพากษาและไม่อ้างเหตุแห่งความจำเป็น โดยอ้างว่าเพียงว่าติดภารกิจที่ต่างประเทศ ศาลจึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย สั่งจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับให้ออกหมายจับจำเลยไว้
จากนั้น เสี่ยท็อป ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ทำให้ขาดอุทธรณ์และทำให้คดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากตำรวจติดตามจับกุมตัวเสี่ยท็อปได้จึงนำส่งศาล ศาลได้แจ้งผลคำพิพากษาให้ เสี่ยท็อป ทราบว่า คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว และให้รับโทษตามคำพิพากษาคือ จำคุก 6 เดือน จึงต้องส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยญาติจะไปเยี่ยม เสี่ยท็อป ที่เรือนจำในช่วงบ่ายนี้
ทั้งนี้ ทนายความยังระบุด้วยว่า ตัวเสี่ยท็อปเองอ้างว่ามีความกังวลเรื่องของสุขภาพ เนื่องจากเป็นโรคเบาหวานและกังวลเรื่องเงินจากการทำธุรกิจที่จะได้รับประมาณ 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นธุรกิจด้านไหน เกี่ยวกับเรื่องอะไร
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, เฟซบุ๊ก ข่าวช่องวัน
