แม่น้องเจ๋ง ลูกคนขับสิบล้อสุดเก่งสอบเตรียมทหารคะแนนที่ 1 ทั้ง 3 เหล่าทัพ เผยความฝันของลูกตั้งแต่วัยเยาว์คือ การเป็นทหารเพื่อปกป้องประเทศ ล่าสุดเข้ารายงานตัวที่โรงเรียนเตรียมทหารแล้ว
จากกรณีนายธรากร ทองหนูนุ้ย หรือน้องเจ๋ง นักเรียนชั้น ม.4 อายุ 17 ปี สอบติดโรงเรียนทหารโดยมีคะแนนอันดับที่ 1 ติดถึง 3 เหล่าทัพ ทบ. ทอ. ทร. และติดอันดับ 8 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ทางบ้านค่อนข้างยากจน ไม่มีเงินมอบตัวเข้าเรียน ทางกองทัพบกจึงเตรียมช่วยเหลือเรื่องเงินในการศึกษาต่อไปนั้น
ล่าสุดวันที่ 11 สิงหาคม 2564 เดลินิวส์ รายงานว่า ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ บ้านเกิดของน้องเจ๋ง ในพื้นที่ หมู่ 1 ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เบื้องต้นพบว่าเจ้าตัวไม่อยู่บ้าน เนื่องจากกำลังไปรายงานตัวที่โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก
โดย น.ส.รดาชา ถุงสูงเนิน อายุ 45 ปี ผู้เป็นแม่เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวลูกสอบติด ก็ดีใจมาก ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ดีถึงขนาดนี้ ซึ่งการเป็นทหารนั้นถือเป็นความฝันของลูก เนื่องจากตอนเด็กครอบครัวอยู่ติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อปี 2554 มีเหตุปะทะกัน ทางเจ้าหน้าที่ได้อพยพชาวบ้านออกจากชายแดนเพราะอยู่ในวิถีกระสุนปืนใหญ่ ระหว่างนั้นน้องก็ได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารที่ต่อสู้กับศัตรู โดยไม่เกรงกลัวเพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ จึงอยากเป็นทหารที่เสียสละเพื่อประชาชน
ส่วนชีวิตครอบครัวนั้น ตนกับสามีทำงานรับจ้าง เคยลงทุนขายกล้ายางพารา แต่ก็มาขาดทุน จากนั้นก็มาขับรถ 10 ล้อรับจ้างขนส่งสินค้าเกษตร ส่งขี้ยางพารา ส่งผลไม้ พอมาเจอวิกฤตโควิด 19 รายได้ลดลงเดือดร้อน จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมผู้ปกครองโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี ที่ลูกเรียน ก็ได้รับความช่วยเหลือ ส่วนลูกชายของตนอยู่หอพักเพียงลำพังตั้งแต่ ม.1 ช่วยเหลือตัวเองมาตลอด ไม่ทำให้พ่อแม่หนักใจ
น.ส.รดาชา ระบุอีกว่า ตอน ม.1 ลูกชายเรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.9 เลยอยากคิดให้ลองสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศ ที่ผ่านมาตนจะสอนลูกเสมอว่า ให้ค้นหาตัวเองให้เจอว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร และสอนให้ลูกคิดว่าอยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ พอลูกเรียนอยู่ ม.2 ก็บอกว่าอยากเป็นทหาร แต่ตอนนั้นมีข่าวนักเรียนเตรียมทหารถูกทำร้ายจนเสียชีวิตเป็นข่าวดัง ทำให้ตนไม่เห็นด้วย เพราะกลัวลูกจะถูกทำร้าย เนื่องจากรู้สึกเป็นห่วงเพราะมีลูกเพียงคนเดียว อยากชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศมากกว่า
แต่เมื่อขึ้น ม.3 ตนถามลูกอีกครั้งว่าอยากเป็นอะไร เจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าอยากเป็นทหาร จึงคิดว่านี่คือเส้นทางที่เขาเลือกแล้ว ตนจึงพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ปัจจุบันลูกชายได้เข้ารายงานตัวที่โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก เรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
จากกรณีนายธรากร ทองหนูนุ้ย หรือน้องเจ๋ง นักเรียนชั้น ม.4 อายุ 17 ปี สอบติดโรงเรียนทหารโดยมีคะแนนอันดับที่ 1 ติดถึง 3 เหล่าทัพ ทบ. ทอ. ทร. และติดอันดับ 8 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่ทางบ้านค่อนข้างยากจน ไม่มีเงินมอบตัวเข้าเรียน ทางกองทัพบกจึงเตรียมช่วยเหลือเรื่องเงินในการศึกษาต่อไปนั้น
อ่านข่าว : น้องเจ๋ง สอบติดทหารอันดับ 1 กวาดคนเดียว 3 เหล่าทัพ แต่ไม่มีเงินมอบตัว คนแห่ช่วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก กองทัพภาคที่ 2
ภาพจาก เฟซบุ๊ก กองทัพภาคที่ 2
ล่าสุดวันที่ 11 สิงหาคม 2564 เดลินิวส์ รายงานว่า ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ บ้านเกิดของน้องเจ๋ง ในพื้นที่ หมู่ 1 ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เบื้องต้นพบว่าเจ้าตัวไม่อยู่บ้าน เนื่องจากกำลังไปรายงานตัวที่โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก
โดย น.ส.รดาชา ถุงสูงเนิน อายุ 45 ปี ผู้เป็นแม่เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวลูกสอบติด ก็ดีใจมาก ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ดีถึงขนาดนี้ ซึ่งการเป็นทหารนั้นถือเป็นความฝันของลูก เนื่องจากตอนเด็กครอบครัวอยู่ติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อปี 2554 มีเหตุปะทะกัน ทางเจ้าหน้าที่ได้อพยพชาวบ้านออกจากชายแดนเพราะอยู่ในวิถีกระสุนปืนใหญ่ ระหว่างนั้นน้องก็ได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารที่ต่อสู้กับศัตรู โดยไม่เกรงกลัวเพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ จึงอยากเป็นทหารที่เสียสละเพื่อประชาชน
ส่วนชีวิตครอบครัวนั้น ตนกับสามีทำงานรับจ้าง เคยลงทุนขายกล้ายางพารา แต่ก็มาขาดทุน จากนั้นก็มาขับรถ 10 ล้อรับจ้างขนส่งสินค้าเกษตร ส่งขี้ยางพารา ส่งผลไม้ พอมาเจอวิกฤตโควิด 19 รายได้ลดลงเดือดร้อน จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากสมาคมผู้ปกครองโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี ที่ลูกเรียน ก็ได้รับความช่วยเหลือ ส่วนลูกชายของตนอยู่หอพักเพียงลำพังตั้งแต่ ม.1 ช่วยเหลือตัวเองมาตลอด ไม่ทำให้พ่อแม่หนักใจ
น.ส.รดาชา ระบุอีกว่า ตอน ม.1 ลูกชายเรียนได้เกรดเฉลี่ย 3.9 เลยอยากคิดให้ลองสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศ ที่ผ่านมาตนจะสอนลูกเสมอว่า ให้ค้นหาตัวเองให้เจอว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร และสอนให้ลูกคิดว่าอยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ พอลูกเรียนอยู่ ม.2 ก็บอกว่าอยากเป็นทหาร แต่ตอนนั้นมีข่าวนักเรียนเตรียมทหารถูกทำร้ายจนเสียชีวิตเป็นข่าวดัง ทำให้ตนไม่เห็นด้วย เพราะกลัวลูกจะถูกทำร้าย เนื่องจากรู้สึกเป็นห่วงเพราะมีลูกเพียงคนเดียว อยากชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศมากกว่า
แต่เมื่อขึ้น ม.3 ตนถามลูกอีกครั้งว่าอยากเป็นอะไร เจ้าตัวก็ยังยืนยันว่าอยากเป็นทหาร จึงคิดว่านี่คือเส้นทางที่เขาเลือกแล้ว ตนจึงพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ปัจจุบันลูกชายได้เข้ารายงานตัวที่โรงเรียนเตรียมทหาร จ.นครนายก เรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์